ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ บัญญัติหน้าที่ของเจ้าอาวาสไว้ดังนี้(๑) บำรุงรักษา จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี(๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิต และคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฏมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม(๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์(๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศลตามมาตรา ๓๗ (๑) คำว่า “บำรุงรักษา” นั้นก็หมายถึง การะวังรักษาเพื่อให้คงอยู่ รักษาให้อยู่ในสภาพดี ทำให้งอกงาม ทำให้เจริญ ดังนั้นการบำรุงรักษานอกจากดูแลรักษาวัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆภายในวัดไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ โรงครัว ห้องน้ำ เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพดีแล้ว ยังจะต้องพัฒนา ปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย อาทิเช่น การทำทางลาดให้ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ให้สามารถใช้ห้องน้ำได้โดยสะดวก การทำห้องน้ำให้ ผู้พิการโดยเฉพาะ การปรับเปลี่ยนห้องส้วมเป็นแบบชักโครกเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้ได้ เป็นต้น ก็เป็นตัวอย่างในการพัฒนาห้องน้ำห้องส้วมภายในวัดให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวหากท่านเจ้าอาวาสให้ความสำคัญก็จะได้รับการพัฒนา และได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งพระเณรในวัดหรือพุทธบริษัท แต่บางเรื่องนั้นหากท่านเจ้าอาวาสได้ดำเนินการตามหน้าที่แต่พระลูกวัดบางรูปเกิดไม่เห็นด้วยกับการกระทำจนกลายเป็นข้อพิพาทขึ้นระหว่างเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดจนต้องนำเรื่องราวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๕/๒๕๑๗ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นพระลูกวัดฟ้องเจ้าอาวาสเป็นจำเลยที่ ๑ กับพวก โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นเจ้าอาวาส มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของวัดและปกครองพระภิกษุซึ่งอยู่ในวัด ได้สั่งให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นพระภิกษุในวัดกับพวกเข้าไปในกุฏิและงัดกุญแจห้องของโจทก์ กับรื้อถอนกุฏิอันเป็นเคหสถานในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ กับพวกได้งัดกุญแจห้องของโจทก์แล้วรื้อถอนกุฏิทั้งหลังตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหาย การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่าซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ นอกจากนี้การกระทำของจำเลยที่ ๑ ยังเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการสนับสนุนการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๘๔, ๘๖, ๑๕๗, ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ สั่งให้รื้อกุฏิ ๖ หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่ด้วย รื้อกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่กับกุฏิอื่นๆรวม ๔ หลัง ก่อนรื้อกุฏิที่โจทก์อาศัยอยู่ เป็นการสั่งให้รื้อเพื่อไปปลูกรวมกับกุฏิที่อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ อันเป็นการกระทำเพื่อให้กุฎิรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นการบำรุงรักษาจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ (๑) การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้นก็พอเป็นแนวทางให้เจ้าอาวาสได้ยึดเป็นแนวทางในการพัฒนา ศาสนวัตถุภายในวัดให้ดีขึ้น เหมาะกับการใช้งาน และเกิดประโยชน์สูงสุด บทความนี้เป็นบทความแรกที่กระผมได้เขียนรับใช้แด่พระสังฆาธิการหรือผู้ที่สนใจในกิจการพระพุทธศาสนา หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ หากมีข้อเสนอแนะหรือสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ทางอีเมล์ udomsakchuto@hotmail.com
หน้าที่เจ้าอาวาส จากเว็บไซต์http://sta.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=335&Itemid=346
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ บัญญัติหน้าที่ของเจ้าอาวาสไว้ดังนี้
ตอบลบ(๑) บำรุงรักษา จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
(๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิต และคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฏมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
(๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์
(๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล
ตามมาตรา ๓๗ (๑) คำว่า “บำรุงรักษา” นั้นก็หมายถึง การะวังรักษาเพื่อให้คงอยู่ รักษาให้อยู่ในสภาพดี ทำให้งอกงาม ทำให้เจริญ ดังนั้นการบำรุงรักษานอกจากดูแลรักษาวัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆภายในวัดไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ โรงครัว ห้องน้ำ เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพดีแล้ว ยังจะต้องพัฒนา ปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย อาทิเช่น การทำทางลาดให้ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ให้สามารถใช้ห้องน้ำได้โดยสะดวก การทำห้องน้ำให้ ผู้พิการโดยเฉพาะ การปรับเปลี่ยนห้องส้วมเป็นแบบชักโครกเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้ได้ เป็นต้น ก็เป็นตัวอย่างในการพัฒนาห้องน้ำห้องส้วมภายในวัดให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวหากท่านเจ้าอาวาสให้ความสำคัญก็จะได้รับการพัฒนา และได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งพระเณรในวัดหรือพุทธบริษัท แต่บางเรื่องนั้นหากท่านเจ้าอาวาสได้ดำเนินการตามหน้าที่แต่พระลูกวัดบางรูปเกิดไม่เห็นด้วยกับการกระทำจนกลายเป็นข้อพิพาทขึ้นระหว่างเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดจนต้องนำเรื่องราวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๕/๒๕๑๗ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นพระลูกวัดฟ้องเจ้าอาวาสเป็นจำเลยที่ ๑ กับพวก โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นเจ้าอาวาส มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของวัดและปกครองพระภิกษุซึ่งอยู่ในวัด ได้สั่งให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นพระภิกษุในวัดกับพวกเข้าไปในกุฏิและงัดกุญแจห้องของโจทก์ กับรื้อถอนกุฏิอันเป็นเคหสถานในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ กับพวกได้งัดกุญแจห้องของโจทก์แล้วรื้อถอนกุฏิทั้งหลังตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหาย การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่าซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ นอกจากนี้การกระทำของจำเลยที่ ๑ ยังเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการสนับสนุนการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๘๔, ๘๖, ๑๕๗, ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ สั่งให้รื้อกุฏิ ๖ หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่ด้วย รื้อกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่กับกุฏิอื่นๆรวม ๔ หลัง ก่อนรื้อกุฏิที่โจทก์อาศัยอยู่ เป็นการสั่งให้รื้อเพื่อไปปลูกรวมกับกุฏิที่อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ อันเป็นการกระทำเพื่อให้กุฎิรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นการบำรุงรักษาจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ (๑) การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้นก็พอเป็นแนวทางให้เจ้าอาวาสได้ยึดเป็นแนวทางในการพัฒนา ศาสนวัตถุภายในวัดให้ดีขึ้น เหมาะกับการใช้งาน และเกิดประโยชน์สูงสุด บทความนี้เป็นบทความแรกที่กระผมได้เขียนรับใช้แด่พระสังฆาธิการหรือผู้ที่สนใจในกิจการพระพุทธศาสนา หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ หากมีข้อเสนอแนะหรือสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ทางอีเมล์ udomsakchuto@hotmail.com
หน้าที่เจ้าอาวาส จากเว็บไซต์
ตอบลบhttp://sta.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=335&Itemid=346